Money Wise...ใช้จ่ายด้วยสมอง
สงสัยจัง... เงินหายไปไหน
เมื่อมีสมุดกับปากกาแล้ว... เริ่มด้วยการจดตัวเลขรายได้ที่ได้มาในแต่ละวัน สัปดาห์ หรือเดือนลงไป ทั้งเงินเดือน
ค่าเช่า ค่านายหน้า โบนัส จ๊อบพิเศษ รวมถึงรายได้ที่เป็นรายการพิเศษต่างๆ อย่างเงินคืนภาษี เงินคืนจากประกันชีวิต หรือเช็คของขวัญในโอกาสต่างๆ ฯลฯ
คราวนี้ลองมาดูฝั่งค่าใช้จ่ายกันบ้าง หากสังเกตดีๆ คุณจะพบว่าค่าใช้จ่ายแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ ค่าใช้จ่าย
เพื่อการออมและการลงทุน ค่าใช้จ่ายคงที่ และค่าใช้จ่ายผันแปร
“ค่าใช้จ่ายเพื่อการออมและการลงทุน” คือ ค่าใช้จ่ายส่วนแรกที่ต้องกันไว้ทุกเดือนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งถือเป็น
การจ่ายเพื่อตัวเองในการเดินตามความฝันหรือเป้าหมายที่ตั้งไว้ เช่น เงินออมเพื่อดาวน์รถ ดาว์บ้าน ท่องเที่ยว แต่งงาน ค่าเล่าเรียนลูก หรือเงินออมเพื่อเกษียณอายุ ฯลฯ ที่สำคัญ... อย่าลืมแยกบัญชีเงินออมและลงทุนออกจากบัญชีใช้จ่ายส่วนตัว เพื่อป้องกันความสับสนและเผลอถอนเงินออมออกมาใช้
“ค่าใช้จ่ายคงที่” คือ ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเป็นจำนวนเงินที่แน่นอนทุกเดือน เช่น ค่าผ่อน (เช่า) บ้าน ค่าผ่อนรถ
ค่าเบี้ยประกัน ค่าผ่อนสินค้า หรือเงินกู้ต่างๆ ฯลฯ “ค่าใช้จ่ายผันแปร” คือ ค่าใช้จ่ายที่มีจำนวนไม่เท่ากันในแต่ละเดือน มีบ้าง ไม่มีบ้าง ไม่แน่นอน ยืดหยุ่นไปตาม กิจกรรม ที่ทำในเดือนนั้นๆ ส่วนจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับลักษณะการดำรงชีวิตของแต่ละคน เช่น ค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าเสื้อผ้า ค่าเดินทาง ค่ารักพยาบาล บันเทิงเริงใจ เงินทำบุญ ฯลฯ
หลังจาก จด จด จด สะกดรอยตามเงินครบ 4 สัปดาห์ ลองบวกลบคูณหารค่าใช้จ่ายทั้งหมดในเดือนนั้น แล้วเอา
สมุดโน้ตมากางดู คุณจะเห็น “รูรั่ว” ของกระเป๋าสตางค์อย่างชัดเจน
ทีนี้แหละ... ดวงตาที่เคยมืดมนก็เริ่มเห็นแสงสว่างขึ้นมาทันใด เมื่อสมุดเล่มเล็กๆ ราคาไม่กี่บาท กลับกลายเป็น
“สมุดสติ” ที่ช่วยเตือนให้คุณเห็นถึงภัยร้ายจากค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ วันละ 100 200 หรือ 300 ที่ทุกวันรวมกันก็เป็นพัน เป็นหมื่นได้
ตอนนี้รู้แล้วสินะว่าเงินของคุณหายไปไหน รู้ลางๆ แล้วใช่ไหมว่าทำไมเงินถึงไม่เคยพอใช้ หรือเพราะเหตุใดคุณถึงได้
จนไส้แห้งทุกครั้งก่อนสิ้นเดือน เฮ้อ!!! ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะ “คุณ” นั่นแหละที่เจาะกระเป๋าตัวเอง
เอาเป็นว่า... เมื่อมีเงินไม่พอใช้ในแต่ละเดือน ก็อย่าเพิ่งตกอกตกใจไป ยังพอมีหนทางแก้ไขสถานการณ์ได้
ทางแรกคือ “หั่นรายจ่าย” อีกทางคือ “เพิ่มรายได้” แต่คุณเชื่อหรือไม่... ร้อยทั้งร้อยเลือกที่จะหั่นรายจ่ายเพราะดูเหมือน จะง่ายกว่าหาทางเพิ่มรายได้หลายเท่า เพียงแค่นั่งวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายทั้งหมด คุณก็พอจะรู้ว่าส่วนเกินตรงไหนที่สามารถตัดทิ้ง ได้บ้าง แต่การหารายได้เพิ่มนี่สิ ยากสิ้นดี
การหั่นรายจ่ายที่ง่ายที่สุด คือ “การหั่นรายจ่ายผันแปรที่ไม่จำเป็นต่างๆ” อย่างค่าโทรศัพท์มือถือ ซื้อของฟุ่มเฟือย
ลดการเที่ยวเตร่ ดูหนังฟังเพลง หรือทานอาหารนอกบ้านให้น้อยลง ฯลฯ ส่วนค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์มักจะตัดออกไม่ค่อยได้ ทำได้แค่ลดปริมาณการใช้ลง และเอาบิลไปจ่ายให้เร็วที่สุดเพื่อป้องกันค่าปรับจากการชำระล่าช้าเท่านั้น แต่ใครอยากท้าทายกว่านั้น ลองพิจารณาลดค่าใช้จ่ายคงที่ เพราะแม้จะทำได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ซะหน่อย ยกตัวอย่างเช่น การรีไฟแนนซ์เพื่อให้ภาระดอกเบี้ยลดลง หรือบางครั้งอาจต้องแลกกับการเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ ของคุณ เช่น หาบ้านใหม่ที่ค่าเช่าถูกลง หรือขายรถแล้วหันมาใช้บริการรถสาธารณะแทน
หากคุณ “เขียม” สุดๆ แล้ว เงินก็ยังไม่พอใช้อยู่ดี ก็อาจถึงเวลาที่คุณต้องมองหางานที่ให้ค่าตอบแทนสอดคล้อง
กับรายจ่ายของคุณหรือหางานพิเศษทำ
เชื่อเถอะว่า... การจดบันทึกรายรับรายจ่ายเป็นประจำ นอกจากจะทำให้คุณเห็นถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เป็นต้นเหตุ
ของปัญหา ในแต่ละวัน สัปดาห์ หรือเดือนที่ผ่านมาแล้ว ยังช่วยให้คุณปรับวิธีใช้จ่ายเงินและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่าง มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เมื่อค่าใช้จ่ายน้อยลง คุณก็จะมีเงินเหลือออมมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังทำให้คุณสามารถวางแผนใช้จ่ายเงินได้อย่างเป็นระบบระเบียบมากขึ้นด้วย เช่น ในแต่ละปี คุณรู้ว่า
ตอนเดือนตุลาคม คุณต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตปีละ 20,000 บาท ฉะนั้น ก่อนจะถึงช่วงเดือนตุลาคม คุณก็สามารถที่จะทยอย สะสมเงินเตรียมไว้ทุกเดือนก่อนได้
ถ้าเห็นข้อดีของการจดบันทึกรายรับรายจ่ายแล้ว ก็ควรทำอย่างจริงจังเสียตั้งแต่วันนี้ เพราะการใช้จ่ายเงินทองอย่าง
“รอบคอบ” และ “ระมัดระวัง” เท่ากับว่าคุณกำลังแง้มประตูไปสู่ “ความมั่งคั่ง” ในอนาคต |
|
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น