แนะนำขั้นตอนการเรียนต่อ ระดับปริญญาโท ต่างประเทศ
แนะนำขั้นตอนการเรียนต่อ ระดับปริญญาโท ต่างประเทศ
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าขั้ นตอนการเรียนต่อในต่างประเทศนั้ นค่อนข้างยุ่งยาก ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกครับ เพราะการที่ไม่ได้เป็นการเรี ยนด้วยภาษาของเรา ผู้ที่จะไปเรียนต่อจึงต้องมี การเตรียมตัวด้านภาษามาพอสมควร
โดยขั้นแรก คือดูว่าเราอยากไปเรี ยนประเทศไหน อเมริกา อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย หรือเป็นประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอั งกฤษ ไปเรียนสาขาอะไร มีมหาลัยไหน
บ้างในประเทศนั้นที่ มีชื่อเสียงในสาขาที่ เราอยากไปเรียน ถ้าไม่ทราบว่ามหาลัยไหนดีบ้าง ก็ลองหา Ranking จัดอันดับมหาลัยในสาขานั้นมาดู ก็จะได้แนวคิดคร่าวๆ ว่ามหาลัยไหนดีบ้าง
ซึ่งถ้ามาถึงขั้นตอนนี้ ทุกคนคงจะมีรายชื่อมหาวิทยาลั ยในความคาดหวังเอาไว้แล้วนะครับ แนะนำให้เตรียมไว้หลายที่สักหน่ อย อย่าเพิ่งตัดสินใจเลือกทันที ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกนั้น ควรที่จะเข้าไปดูเว็บของมหาลั ยต่างๆ ที่เราสนใจ ดูรายละเอียดสาขาวิชาที่ เราอยากเรียนว่าวิชาต่างๆ น่าสนใจหรือเปล่า ส่วนมาก Core Courses ของแต่ละมหาลัยจะไม่ต่างกันมาก ส่วน Optional Courses ของแต่ละมหาลัยอาจจะเน้นเรื่ องต่างๆ ไม่เหมือนกัน ควรจะดูว่ามหาลัยไหนมีวิชาที่ เราอยากเรียน
ถัดมาก็เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่ องหนึ่งครับ คือเรื่องของค่าใช้จ่ายนั่นเอง บางคนอาจจะไม่มีปัญหาอะไร แต่สำหรับใครที่มีปัญหา ถ้าต้องการขอทุนของทางมหาวิ ทยาลัยเอง ลองเข้าไปดูที่ Scholarships หรือ International Students มักจะเขียนรายละเอียดเกี่ยวกั บทุนสำหรับนักเรียนต่างชาติ และรายละเอียดการ สมัครไว้ด้วย บางทีอาจจะมีใบสมัครทุนให้ดาวน์ โหลดได้เลย (หรือจะติดตามทุนการศึกษาใหม่ ๆได้ที่ Scholarship.abroadtip. comครับ)
หลังจากนั้น ในเว็บของมหาลัย มักจะมีแบบฟอร์มให้เรากรอกชื่ อที่อยู่ เพื่อให้มหาลัยส่งใบสมัครไปให้ ที่บ้าน (มักจะส่งให้ฟรี ไม่คิดค่าค่าส่ง) เราก็กรอกแบบฟอร์ม
นั้น แล้วรอประมาณ 2-3 สัปดาห์ก็จะได้รับใบสมั ครและรายละเอียดของมหาลั ยและสาขาที่เราอยากเรียนส่งมาถึ งบ้าน ถ้าในเว็บไม่มีแบบฟอร์มให้ เรากรอก ก็จะมีอีเมล์ของทาง International Office เราก็อาจจะส่งอีเมล์ไปขอให้ มหาลัยส่งใบสมัครมาให้ได้ ถ้าไม่มีใบสมัครทุนให้โหลด ก็ขอให้ทาง International Office ส่งใบสมัครทุนมาพร้อมกับใบสมั ครมหาลัยก็ได้
ระหว่างนั้นก็รอใบสมัครส่งมาครั บ หลังจากได้ใบสมัครส่งมาที่บ้ านเรียบร้อยแล้ว ก็กรอกใบสมัคร ขอให้อาจารย์เขียนจดหมาย Recommendation เตรียมเอกสารต่างๆ ที่ทางมหาลัยต้องการ ส่งใบสมัครกลับไปที่มหาลัยเป็ นอันเรียบร้อย ทางมหาลัยจะติดต่อกลั บมาภายในเวลา 1-2 เดือนหลังจากได้รับใบสมัครครับ
หลังจากนั้นถ้ามหาวิทยาลัยตอบรั บก็เป็นเรื่องของการขอวีซ่ าและเตรียมเอกสารต่างๆ ซึ่งยุ่งยากพอสมควร ตอนหน้าจะพาไปพบกับข้อมู ลของเอกสารต่างๆที่มักจะต้องใช้ ในการเรียนต่อปริญญาโทต่ างประเทศ รอติดตามกันนะครับ
1. ใบสมัครมหาวิทยาลัย – เป็นสิ่งสำคัญที่สุดเลยล่ะครับ ควรกรอกด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ (Capital Letter) หมึกสีดำ ให้อ่านได้ง่ายและชัดเจน ถ้าพิมพ์ได้ก็ดี หรือบางมหาลัยอาจจะมีให้ดาวน์ โหลดเป็นไฟล์ MS Word ก็สามารถพิมพ์ลงในไฟล์แล้วพริ นท์มาส่งได้เลย
2. Transcript – บางที่อาจจะขอ Transcript ตัวจริง แถมยังมีซองให้เราเอาไปให้ฝ่ ายทะเบียนของมหาลัยประทับตราอี กต่างที่ แต่บางที่ไม่ได้ระบุว่าต้องใช้ ตัวจริง จะส่งสำเนาไปแทนก็ได้ แต่โดยส่วนตัวแล้วเราชอบส่ง transcript ตัวจริง เพราะดูน่าเชื่อถือดี
3. จดหมาย Recommendation – มหาลัยในต่างประเทศมักจะระบุให้ ใช้จดหมาย Recommendation จากอาจารย์ แต่สำหรับบางสาขาเช่น MBA มักจะต้องการจดหมาย Recommendation จากหัวหน้างาน ควรจะเผื่อเวลาในการขอจดหมาย Recommendation ไว้อย่างน้อย 2 เดือน เพราะบางครั้งอาจารย์อาจจะไม่ว่ าง หรือติดต่ออาจารย์ได้ยาก
4. คะแนนสอบภาษาอังกฤษ เช่น TOEFL, IELTS และคะแนนอื่นๆ เช่น GRE, GMAT — ถ้าระบุว่าให้ใช้ตัวจริง ก็ส่งตัวจริงไปให้ ถ้าไม่ระบุ จะส่งสำเนาไปก็ได้ (ถ้าเป็นที่อังกฤษ มหาลัยจะให้น้ำหนักกับคะแนน IELTS มากกว่า TOEFL)
5. Statement of Purpose – คือเรียงความเล่าประวัติการศึ กษาและประวัติการทำงานที่เกี่ ยวข้องกับสาขาที่ จะสมัครเรียน ควรจะมีการนำเสนอที่เป็ นระบบและน่าสนใจ ถ้าไม่ถนัดเขียนเรียงความ ควรจะหาหนังสือมาอ่านดูแนวทาง และให้ผู้ที่มีประสบการณ์ช่ วยตรวจทาน
ขอเน้นว่า
1) ให้เขียนเรียงความอย่างเป็นระบบ เพราะฝรั่งจะชอบเรียงความที่ นำเสนอความคิดต่างๆ เรียงลำดับอย่างเป็น ขั้นเป็นตอน เช่น ประวัติการศึกษาเล่าตามลำดั บอายุ ไม่ใช่เรียงสับไปสับมา
2) ควรจะเขียนจุดเด่นของเราที่คิ ดว่าคนอื่นไม่มี เวลาเขียนควรคำนึงว่ามหาลัยได้ รับใบสมัครเป็นร้อยๆ พันๆ จะทำอย่างไรให้เนื้อหาใบสมั ครของเราโดดเด่น และทำให้มหาลัยสนใจใบสมั ครของเรา
ขอเน้นว่า
1) ให้เขียนเรียงความอย่างเป็นระบบ เพราะฝรั่งจะชอบเรียงความที่
2) ควรจะเขียนจุดเด่นของเราที่คิ
6.Resume – บางครั้งมหาลัยอาจจะไม่ได้ขอ แต่ส่งไปด้วยก็ดี จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้ใบสมั ครของเรา และช่วยเพิ่มน้ำหนักให้ Statement of Purpose ของเราด้วย ควรจะเขียนประสบการณ์ที่เกี่ ยวกับหลักสูตร ผู้พิจารณาใบสมัครอาจจะไม่มี เวลาอ่านมากนัก จึงควรเขียนให้สั้น กระชับ แต่ได้เนื้อหาสำคัญที่เราต้ องการสื่อ ความยาวประมาณ 1-2 หน้า
7. หลักฐานทางการเงิน – เช่น จดหมายรับรองจากธนาคาร บางมหาลัยอาจจะยอมให้ส่ งตามไปหลังจากได้ offer แล้ว แต่บางที่ก็บอกว่าจะไม่พิ จารณาใบสมัครถ้าไม่ได้รับหลั กฐานทางการเงินส่งมา กับใบสมัคร
ทั้งหมดที่รวบรวมมาให้นี้เป็ นเอกสารที่ต้องใช้เป็นส่วนใหญ่ นะครับ อาจจะมีเอกสารอีกหลายอย่างที่ต้ องใช้โดยเฉพาะ ซึ่งทางมหาวิทยาลัยที่เราสมั ครจะเป็นฝ่ายแจ้งให้เราทราบครับ คิดว่าข้อมูลนี้คงจะช่ วยคลายความสงสัยให้กับหลายคนได้ เป็นอย่างดีนะครับ >_<
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น